พลเรือตรี นายแพทย์ปิโยรส ปรียานนท์
"ผมคือผู้รับ"
"ผมคือผู้รับ"
อันว่าความกรุณาปรานี
จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ
จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน
(พระราชนิพนธ์แปล เวนิสวานิช-พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)
กาลครั้งหนึ่ง ย้อนหลังไปประมาณ ๑๔ ปีที่แล้ว เคยมีโอกาสติดตามหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของคุณหมอปิโยรส ปรียานนท์ ศัลยแพทย์หนุ่ม โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ และเป็นประธานมูลนิธิดวงแก้วในพระสังฆราชูปถัมภ์ ล่องเหนือสู่จังหวัดน่าน ไปยังอำเภอที่ห่างไกลความเจริญ พันธกิจหลักของคุณหมอในครั้งนั้น ก็คือ ให้การผ่าตัดรักษาคนไข้ชาวชนบทผู้ยากไร้จากโรคปากแหว่ง เพดานโหว่ จำนวนหลายราย
ห้องผ่าตัดเพียงไม่กี่ห้องของโรงพยาบาลประจำอำเภอถูกเปิดใช้งานตลอดทั้งวัน แม้ภาระหน้าที่ในความรับผิดชอบจะหนักเหนื่อยเพียงใด แต่ทว่าความแจ่มใสที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า มิได้ลบเลือนหายไปจากดวงตาหลายคู่ที่กำลังจับภาพเฝ้ามองการทำงานของคุณหมอ ร่องรอยความอ่อนล้าไม่สามารถเข้ามาแผ้วพานแววตาของนายแพทย์ผู้ชำนาญการผ่าตัดคนนี้ได้
หลายวันนั้น "คุณหมอโย" และทีมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของมูลนิธิดวงแก้วในพระสังฆราชูปถัมภ์ ต้องทำงานแข่งกับเวลา ด้วยเหตุเพราะทุกท่านต่างตระหนักเหมือนกันว่า คุณภาพชีวิตของคนไข้รอไม่ได้
เสร็จสรรพภารกิจ คืนสุดท้ายก่อนอำลาจังหวัดน่าน ประธานมูลนิธิดวงแก้วฯ นำคณะทั้งหมดขึ้นรถบัสมุ่งสู่ดอยภูคา เวลาผ่านไปนานขณะที่รถแล่นตามทางอันคดเคี้ยว แสงส้มทองเบื้องบนในยามอาทิตย์อัสดง ดวงตะวันค่อยๆลับทิวแมกไม้ แผ่นฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีเงินยวงทอประกายแสงนวลจากดวงจันทราอาบไล้ทั่วรัตติกาล
เวลาเคลื่อนคล้อยมากแล้ว ทั้งหมดจึงขึ้นมาถึงจุดชมดาวของดอยภูคา ต่างทยอยลงจากรถบัส ยืนกระจัดกระจายกันอยู่บริเวณนั้น จำได้ว่ามีเพิงร้านขายน้ำและของว่างของชาวบ้านคอยบริการนักท่องเที่ยว แต่เพียงแค่แหงนหน้ามองท้องฟ้า ต้องกะพริบตาหลายครั้งด้วยความตื่นตะลึงกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า ขณะนี้ดวงดาวนับพันนับหมื่นหรืออาจจะนับแสนดวงต่างแข่งกันฉายแสงวิบวับพริบพราวดารดาษเต็มฟากฟ้า ทะเลดาวที่ปรากฏในสายตาราวกับจะเอื้อมมือออกไปสัมผัสถึงได้
คุณหมอปิโยรสบอกกับคณะด้วยความยิ้มแย้มอิ่มเอมว่า นี่คือรางวัลแห่งการทำงานของเรา
และช่วงปีใกล้เคียงกันนั้นเอง พลเรือตรี นายแพทย์ปิโยรส ปรียานนท์ ยังได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่จากการทำงานหนักในฐานะแพทย์วิชาชีพและประธานของมูลนิธิดวงแก้วฯ ซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นรางวัลแห่งเกียรติยศที่สูงสุดในชีวิต กล่าวคือ ได้รับพระราชทานรางวัลมหิดล-บีบราวน์ เพื่อการแพทย์และการสาธารณสุขไทย ประจำปี ๒๕๔๑ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีก ๒ ปีถัดมาก็ได้รับรางวัลนักวิจัยดีเลิศ จากสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหาร กระทรวงกลาโหม
ราวปี ๒๕๔๔ ยังได้รับพระราชทานรางวัลนักวิจัยดีเด่น Vincent Award ด้านงานวิจัยทางการแพทย์ จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
จากวันนั้นจวบจนวันนี้ หรือแม้ว่าเวลาหมุนผ่านมานานเพียงใด สกุลไทยมีโอกาสพบคุณหมออีกครั้ง ภาพแห่งความทรงจำในการทำงานให้บริการทางการแพทย์แก่ชุมชนถิ่นทุรกันดาร ณ จังหวัดน่าน ภาพแห่งการเป็นผู้ให้ชัดเจนขึ้นมาอีกครา แต่คุณหมอกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น นายแพทย์หนุ่มพูดขึ้นมาตอนหนึ่งขณะนั่งสนทนากันว่า "...ถ้าถามเรื่องการให้ผมไม่แน่ใจ แต่ทุกครั้งที่ออกทำงานตามต่างจังหวัด ผมรู้สึกว่าผมคือผู้รับมากกว่า พวกเขาให้ผมมากกว่า คนไข้เหล่านั้นเขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า..."
พลเรือตรี นายแพทย์ปิโยรส ปรียานนท์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๑ เป็นบุตรของนายแพทย์ปัญญา ปรียานนท์และนางสินทรา ปรียานนท์ (ธิดาหลวงทรงบุณยแพทย์ หนึ่งในแพทย์ประจำพระองค์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์)
"ผมได้เห็นแบบอย่างการทำงานของคุณตามาตลอด จนกระทั่งท่านเสียชีวิตไปตอนที่ผมยังเด็กมาก สิ่งที่จำได้ดีที่สุดเกี่ยวกับคุณตา คือท่านสอนให้ผมจดบันทึกอย่างละเอียดทุกวันว่าในแต่ละวันไปที่ไหน เวลาอะไร และทำอะไรบ้าง ต่อมา ทำให้ผมได้รับประโยชน์สูงมากจากการเขียนบันทึกมาตั้งแต่เด็ก เพราะช่วยให้จดจำแม่นยำ สรุปประเด็นต่างๆได้รวดเร็วชัดเจน และที่สำคัญการจดบันทึกสอนให้เรามีการวางแผนที่ดี การเรียนการทำความเข้าใจกับเนื้อหาวิชาต่างๆก็ง่ายขึ้น เพราะจับประเด็นได้ไว ความจำก็ดี
ส่วนคุณแม่ท่านชอบพาผมเข้าวัดตั้งแต่เด็ก ฝึกให้ผมนั่งสมาธิเมื่อตอนอายุ ๒ ขวบครึ่ง จึงเหมือนถูกปลูกฝังเรื่องความดี เรื่องธรรมะ โดยไม่รู้ตัว ขณะที่คุณพ่อก็เป็นศัลยแพทย์ที่ใฝ่ใจด้านพุทธศาสนา หมั่นฝึกปฏิบัตินั่งสมาธิ ทำจิตสงบ ท่านได้จับผมให้นั่งสมาธิด้วยกัน
พอมีโอกาสมาเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมต้นที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ก็ได้พบกับบราเธอร์มาร์ติน ในยุคสมัยนั้นถือว่าบราเธอร์มาร์ตินท่านเป็นผู้ที่มีหัวก้าวหน้า ท่านเปิดโอกาสให้เด็กนักเรียนได้ทำกิจกรรมพิเศษต่างๆมากมาย และยังมีอาจารย์แนะแนวอีกท่านหนึ่ง ทำให้เราตั้งชมรมสังคมสงเคราะห์ตั้งแต่อายุ ๑๓ ปี ซึ่งบราเธอร์มาร์ตินท่านคอยสนับสนุนผลักดัน คือช่วยผลักดันทุกกิจกรรมที่เด็กๆอยากทำ พวกเราก็เลยได้รับโอกาสออกไปช่วยเหลือคนอื่นๆในสังคม อย่างเช่น วันพุธตอนบ่าย พวกเราก็จะออกไปเลี้ยงเด็กด้อยโอกาสที่ชุมชนคลองเตย พอปีใหม่ก็รวบรวมนำของขวัญไปแจกเด็กๆน้องๆ
สมัยเป็นนักเรียน ผมเองชอบทำกิจกรรมเยอะแยะหลากหลายมากๆ เพราะชอบเที่ยวนอกโรงเรียน (หัวเราะ) และยังได้รู้จักเพื่อนต่างโรงเรียนอีก มีทั้งเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้อง ยิ่งเราคบกับเพื่อนที่ชอบทำกิจกรรมต่างๆเหมือนกัน ยิ่งทำให้ความคิดเดินทางก้าวออกไปเรื่อยๆ ได้เห็นสิ่งต่างๆกว้างไกลขึ้น เห็นมุมใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ"
คุณหมอเล่ามาพอสังเขป แล้วกลายเป็นผู้ทิ้งคำถามแทน โดยแย้มว่าเชื่อไหมตั้งแต่เด็กจนมาเรียนที่เซนต์คาเบรียล คุณหมอไม่เคยมีความนึกคิดอยากเป็นแพทย์เหมือนคุณตากับคุณพ่อเลย เพราะทั้งสองท่านมักไม่ค่อยมีเวลาให้แก่ครอบครัว
"อย่างเมื่อตอนผมได้รับรางวัลเรียนดีจากโรงเรียน แต่จะไม่เคยมีคุณพ่อมาร่วมงานเลย มีแต่เฉพาะคุณแม่มาทุกครั้ง ขณะที่คุณพ่อไม่เคยว่าง หรือบางปีได้รับรางวัลด้านกีฬา ด้านสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ ทางบ้านไม่เคยสนใจ คือท่านคงเห็นว่าผมเรียนดีแล้ว ก็โอ.เค. อยากจะทำอะไรอย่างอื่น ก็ทำไปเถอะ ท่านไม่ขัดไม่ห้าม เพราะถือว่าการเรียนไม่เสีย
ตอนเรียนมัธยม ผมได้ทำกิจกรรมเยอะ ก็ด้วยแรงผลักดันจากบราเธอร์มาร์ติน ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดกว้างไกล และเนื่องจากผมต้องติดรถคุณพ่อไปโรงเรียนทุกวัน ท่านขับรถไปส่งผมแต่เช้าตรู่ก่อนหกโมง แต่กว่าโรงเรียนจะเข้าก็แปดโมงครึ่ง ซึ่งช่วงเวลาหกโมงเช้าถึงแปดโมงครึ่ง ทำให้ผมมีโอกาสซักถามสนทนากับบราเธอร์มาร์ติน และบราเธอร์วินเซนต์ซึ่งท่านสอนเปียโน สอนภาษาสเปน สอนเรื่องการเข้าสังคม และยังสอนเรื่องเทคนิคการเล่นกีฬาเทนนิส
บังเอิญตึกห้องสมุดใหม่เพิ่งเปิด ยังไม่มีใครจัดเรียงหนังสือเข้าชั้น บราเธอร์มาร์ตินท่านก็มอบหมายให้ผมช่วยจัดเรียงหนังสือทุกเช้าก่อนโรงเรียนเข้า ผมจึงได้อ่านหนังสือไปด้วยทุกวัน หนังสือในห้องสมุดมีจำนวนประมาณ ๒,๐๐๐ กว่าเล่ม ผมอ่านหมดภายในเวลาเกือบ ๒ ปี ทั้งวรรณกรรม นวนิยาย หยิบมาอ่านหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหลวงวิจิตรวาทการ ดอกไม้สด และนักเขียนคนอื่นๆ ฯลฯ จำได้ว่าเล่มแรกที่อ่านคือ ประวัติบุคคลสำคัญ
ผมเชื่อมั่นว่าการอ่านหนังสือมาก ทำให้เราเป็นคนมีความคิดกว้างขึ้น มองโลกกว้างขึ้น ประกอบกับเป็นเด็กกิจกรรมด้วย และผมยังชอบคุยกับผู้ใหญ่ ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเข้ามาปะติดปะต่ออยู่ในความคิดของเรา เสมือนเป็นการเพิ่มพูนสติปัญญายิ่งขึ้นไปอีก
ถ้าถามว่าได้อะไรจากการสอนของบราเธอร์ในโรงเรียน ได้อะไรจากการสอนของคุณตา คุณพ่อคุณแม่ สิ่งสำคัญที่ได้รับจากการสอนของท่านเหล่านี้ ก็คือ ท่านสอนให้เรารู้จักการให้ ซึ่งทำให้เรามีความสุขมากขึ้นด้วย รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง หรือได้แบ่งปันในสิ่งที่มีให้แก่คนอื่นบ้าง แต่ตอนนั้นยังไม่ได้คิดชัดเจนอะไรมาก แค่รู้สึกสนุกที่ได้ทำกิจกรรมนอกโรงเรียน หรืออย่างการออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท ซึ่งเราต้องช่วยกันวางแผนการเดินทาง วางแผนการทำงาน เมื่อไปถึงผมมีหน้าที่ลงครัว ทำอาหารให้เพื่อนๆรับประทาน ก็รู้สึกมีความสุขที่ได้ทำ
และยังมีบราเธอร์อีกท่านหนึ่งซึ่งท่านมีอิทธิพลทางความคิดต่อผมค่อนข้างมาก ท่านเป็นชาวอเมริกัน ช่วงหนึ่งท่านมาอยู่ที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียลหลายเดือน ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับบราเธอร์ท่านนี้มากพอสมควร ท่านมาทำวิจัยเรื่องศาสนาเปรียบเทียบ และยังได้สอนพวกเราอีกหลายอย่าง ทำให้ผมสนใจเรื่องศาสนา อยากรู้ว่าพุทธ คริสต์ อิสลามต่างกันอย่างไร แล้วท่านก็อธิบายให้ฟัง สอนเกี่ยวกับปรัชญาต่างๆด้วย โดยเฉพาะสอนเรื่องการมองชีวิตในอนาคต
การมองชีวิตในอนาคตสำคัญอย่างไร สำคัญตรงที่ว่า คนเรามักจะปล่อยชีวิตให้หลักลอยไปตามกระแสกาลเวลา แล้วแต่ชีวิตจะนำพาไป แต่บราเธอร์ชาวอเมริกันท่านนี้สอนให้เรามีจุดมุ่งหมายในชีวิต ท่านบอกว่าเรือที่ไม่มีหางเสือ ไม่มีความหมายเลย ถึงจะแล่นเร็วแค่ไหนก็ตาม เพราะฉะนั้น เราต้องเป็นผู้กำหนดชีวิตของเราเอง
เวลานั้นผมอายุประมาณ ๑๔ ปี บราเธอร์ท่านสอนให้พวกเราทำ Ten Year planning ซึ่งยุคนี้อาจจะเรียกว่า 'วิสัยทัศน์' หมายถึงมองไปในระยะไกล ท่านบอกพวกเราว่า จงมองสูง คิดไกลอย่างนกอินทรี ซึ่งธรรมชาติของนกอินทรีจะไม่ต่อล้อต่อเถียงทะเลาะกับสัตว์ปีกอื่นที่บินต่ำกว่ามัน ถ้าโดนบรรดานกกาไล่จิก อินทรีก็จะยิ่งบินขึ้นสูงโดยที่นกกาอื่นๆไม่สามารถบินสูงตามขึ้นไปได้ นกอินทรีจะอยู่กับคู่ของมันเท่านั้น และมีสายตาที่มองไกล เห็นไกล มีวิสัยทัศน์กว้างไกล
บราเธอร์ท่านนี้บอกว่าเราต้องมองไกลให้ได้อย่างนกอินทรี ต้องเห็นว่าอีก ๑๐ ปีข้างหน้า เราอยากเป็นอะไร เราต้องตั้งจุดมุ่งหมายของชีวิตให้ได้ แล้วจงทำให้ได้อย่างที่ตั้งเอาไว้
แรกๆผมก็บอกว่าอยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่ ท่านบอกว่าแค่อยากเป็นไม่ได้ เพราะมันยังไม่ใช่การวางแผน"
ซึ่ง 'คุณหมอโย' ก็ได้เฉลยเกี่ยวกับ 'Ten Year planning' ต่อไปว่า
"การวางแผนคือ ต้องเซตให้ได้ว่าเมื่ออยากเป็นแล้ว เราต้องทำอะไร เพื่อไปสู่เป้าหมายนั้น และสิ่งที่เราทำแต่ละปีจะส่งผลให้บรรลุต่อเป้าหมายข้างหน้าได้อย่างไร และควรจะทบทวนใหม่ทุก ๒-๓ ปีเพื่อการบรรลุเป้าหมายที่ดี เรื่อง Ten Year planning นี่ ผมก็ทำมาตลอดทั้งชีวิต
การวางเป้าหมายชีวิตครั้งแรกเมื่อตอนอายุ ๑๔ ปี ผมเขียนว่าผมอยากไปศึกษาต่อต่างประเทศ และกลับมาตั้งมูลนิธิช่วยเหลือสังคม อยากให้คนมีความสุข อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ อยากมีส่วนแก้ไขโลกนี้ให้ดีขึ้น ผมก็บันทึกการวางแผนไว้ แล้วสำรวจหาข้อมูลทีละด้าน เพื่อที่จะคิดค้นวิธีการไปสู่จุดมุ่งหมายตามที่แพลนเอาไว้ และทุกๆ ๒-๓ ปี ก็ทบทวนการวางแผนของตนเอง
ความจริงผมเคยวางแผนว่าอยากจะพัฒนา genetic มนุษย์ เนื่องจากตอนที่ศึกษาอยู่เซนต์คาเบรียล ผมมีโอกาสพบโปรเฟสเซอร์เฟรเดอริค ซึ่งท่านมาทำงานวิจัยที่เชียงใหม่ โดยผมเป็นอาสาสมัครช่วยทำงาน คอนเซ็ปต์ของโปรเฟสเซอร์เฟรเดอริค ก็คือว่าทดลองวิธีการต่างๆที่แนะนำคนเข้าฌานสมาธิ เช่น ใช้ยา แสง เสียง การสะกดจิต มาร่วมเป็นองค์ประกอบ ผมเองก็สนใจเรื่องสมาธิอยู่แล้ว จึงเกาะติดท่านไปดูงานวิจัยด้วย ทำให้ได้ความคิดอะไรต่างๆมากเหมือนกัน แปลกดี ตอนมาเป็นแพทย์ผมก็ยังนำเรื่องจิตสมาธิมาแนะนำให้แก่คนไข้"
แต่สุดท้ายแล้วที่ได้ข้อสรุปจริงๆ นายแพทย์ปิโยรสกล่าวว่าเหตุที่สนใจเรื่องศาสนา จิต ปรัชญา รวมถึงพันธุกรรมมนุษย์ ก็เพราะได้รับการปลูกฝังเกี่ยวกับพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก ทั้งทางครอบครัว คุณพ่อคุณแม่ ครูบาอาจารย์
"ท่านเหล่านี้สอนเรื่องความดีให้แก่ผมมาตลอด บางครั้งช่วงปิดภาคเรียน คุณแม่ยังให้ไปเป็นลูกศิษย์วัดอยู่หนึ่งเดือน เราก็ต้องนั่งสมาธิทุกวัน เช้าก็ต้องตามหลวงพ่อออกไปบิณฑบาต บางเวลาก็ทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ในวัด
ผมเคยถามตัวเองตั้งแต่เด็กว่า เราเกิดมาทำไม ผมเองก็รู้สึกตนเองโชคดีตรงที่ว่า เราได้ เรามี ในสิ่งที่คนอื่นเขาอยากได้ อยากมี ยิ่งเราเรียนหนังสือมากๆ เราก็ยิ่งฝันอยากทำนั่นทำนี่มากขึ้น สมัยเด็กผมสนุกกับการค้นหาความรู้ใหม่ๆ สนุกกับการเรียน สนุกกับการทำกิจกรรมหลากหลาย สนุกกับการเล่นกีฬา แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญในชีวิตที่ไม่ว่าผมทำอะไรก็ตาม การเรียนไม่เสีย ผมคิดว่าน่าจะมาจากพื้นฐานครอบครัว ความเป็นลูกหลานทหาร ทำให้เป็นคนมีระเบียบวินัย จัดสรรเวลาในแต่ละวันได้ถูกต้อง
อีกส่วนหนึ่งมาจากคุณแม่โดยตรง ท่านจับผมนั่งสมาธิ ช่วงปิดเทอมก็ให้ไปฝึกฝนสมาธิกับพระผู้ใหญ่ที่ท่านเคารพนับถือ การได้สมาธิทำให้เราสามารถทำอะไรหลายๆอย่างได้โดยรู้จักแบ่งความสนใจให้ถูกสัดส่วน เวลานั่งอยู่ในห้องเรียน ผมก็ตั้งใจฟังครูอาจารย์ท่านสอน ความคิดไม่วอกแวกเลย ไม่หันเหไปคิดถึงเรื่องอื่นเลย ช่วยให้ผมเข้าใจบทเรียนได้รวดเร็ว มีความจำดี แต่ขณะที่เล่นกีฬาก็เต็มที่ ผมก็ไม่คิดถึงเรื่องเรียนอีกเหมือนกัน มีสมาธิให้กับเรื่องที่กำลังทำอยู่จริงๆ และทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ผมจะหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาอ่าน หรือไม่ก็หยิบช็อตโน้ตขึ้นมาอ่านทบทวน ผมเป็นคนที่จะไม่ยอมปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยสูญเปล่า"
เนื่องจากความที่ชอบถามตัวเองอยู่บ่อยๆว่า เราเกิดมาทำไม และมักชอบหาคำตอบให้แก่ตนเองเป็นระยะๆตามแต่ละช่วงวัย
"ตอนเรียนมัธยม ผมก็บอกตัวเองว่าเราเกิดมาทำอะไรก็ได้ตามที่ตนเองต้องการ โดยไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน จนกระทั่งเติบโตมาเป็นแพทย์ มีโอกาสบวชให้คุณแม่ถึง ๓ ครั้ง ตอนที่ท่านป่วยเป็นโรคมะเร็ง ผมได้พบคำตอบที่แท้จริงจากหลักธรรมของพระพุทธเจ้าว่า คนเราเกิดมา ก็เพื่อพัฒนาระดับจิตวิญญาณให้ไปสู่ความหลุดพ้น
ผมเป็นคนที่นั่งสมาธิอยู่แล้วเกือบทุกวัน แต่ช่วงที่บวชให้แม่ ใจผมไม่สงบเลย นั่งสมาธิไม่ได้ ครั้งนั้นโชคดีผมมีโอกาสเล่าเรียนธรรมะกับท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หลวงตาท่านสอนโดยยึดเหนี่ยวให้เรามีหลักคิดของใจให้ได้ นั่นคือ จิตรวม จากนั้นก็แยกกายกับจิต ท่านสอนให้เราพิจารณาจิต
ความเชื่อถือในพระรัตนตรัยมีมากขึ้นจนเกิดความศรัทธา มั่นใจแล้วว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีจริง เราเชื่อแล้ว เสมือนว่าอยู่ในที่มืดแล้ววันหนึ่งได้เห็นแสงสว่าง ทำให้เกิดกำลังใจในชีวิตต่อไป
หลังจากนั้นอาการคุณแม่ก็ดีขึ้น ผมมีโอกาสดูแลท่านอีก ๑๔ ปี ท่านได้จากโลกนี้ไปด้วยโรคมะเร็ง"
๑๔ ปีแห่งการดูแลมารดาควบคู่กับการเรียนรู้ในพระธรรม คุณหมอบอกว่า
"ได้เรียนรู้เยอะมากครับ ช่วงที่คุณแม่ป่วย ผมกำลังมีชื่อเสียงในวงสังคม สื่อต่างๆมาขอสัมภาษณ์ รุ่งเรืองในวิชาชีพ รายได้ตอนนั้นตกเดือนละ ๘-๙ แสนบาท คุยกับเพื่อนที่เป็นแพทย์เหมือนกันว่า อยากร่วมทุนกันทำบริษัทเครื่องสำอาง แต่พอคุณแม่ป่วย ผมทิ้งงานธุรกิจเลย ไม่ได้สานต่อกับเพื่อน
หลังจากที่บวชกลับมา ผมได้เห็นอะไรบางอย่างว่าสิ่งภายนอกไม่ใช่ จึงทิ้งงานธุรกิจ และทุ่มเทให้กับงานช่วยเหลือสังคมของมูลนิธิดวงแก้วฯมากขึ้น พอมีเวลาว่างก็กลับไปดูแลคุณแม่มากขึ้น
ถามว่างานสังคมสงเคราะห์ที่ทำ ถือเป็นการแบ่งปันสังคมมั้ย ผมไม่แน่ใจ ผมรู้แต่ว่าผมทำแล้วมีความสุข ผมไม่ได้คิดว่าผมกำลังทำอะไรให้สังคม ผมไม่ได้มองขนาดนั้น แต่ก็มีคิดว่าอยากทำให้สังคมดีที่สุดเท่าที่ตัวเราเองจะทำได้ และงานในมูลนิธิฯก็ได้สอนผมมากมาย เคยออกหน่วยแพทย์ ไปใช้ชีวิตอยู่กับชาวบ้านซึ่งก็คือคนไข้ของมูลนิธิฯ
เชื่อมั้ย พวกเขาทำให้ผมรู้สึกว่า ผมคือผู้ได้รับการดูแลจากพวกเขาเหมือนหนึ่งว่าผมเป็นญาติคนหนึ่งของเขา เจ้าของบ้านเขายกห้องห้องหนึ่งให้ผมนอนพักอาศัย ที่นอนหมอนมุ้งก็จัดการให้เราใหม่เอี่ยม เวลากินข้าว เขาก็นั่งล้อมวงเรา แต่ให้หมอกินก่อน แล้วพวกเขาค่อยกินทีหลัง ผมสัมผัสถึงน้ำใจของชาวบ้านชนบทแท้จริง
ชีวิตในต่างประเทศที่ผมเคยไปอยู่มาหลายปี ไม่ได้ให้อะไรแบบนี้เลย ต้องบอกว่าเราได้เรียนรู้จากพวกเขามากทีเดียว ไม่ใช่ว่าเขาเรียนรู้จากเรานะ เราเองต่างหากคือผู้ที่ได้รับจากเขา ผมมองเห็นคุณค่าชีวิตของตนเองจากพวกเขา จากวิถีชาวบ้านชนบท
เงินค่าอาหารต่อมื้อ ๒,๐๐๐ บาทที่เราเคยกินสังสรรค์กับเพื่อนในโรงแรมหรือในภัตตาคาร สำหรับพวกเขาแล้ว เงินจำนวนนั้นมีค่ามาก เขาสามารถอยู่ได้เดือนหนึ่ง
ตั้งแต่นั้นมา พอเราออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ก็จะมีเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้จากการบริจาค ติดไม้ติดมือไปให้ชาวบ้านด้วย"
ครั้นถามถึงเหตุผลที่เลือกเป็นศัลยแพทย์...
"ผมมีความตั้งใจที่อยากจะแก้ไขความพิการให้แก่ผู้ป่วย แต่แรงบันดาลใจไม่ได้เกิดจากคนไข้ แรงบันดาลใจของผมเกิดจากรุ่นพี่ๆ และอาจารย์หมอศัลยเวทย์ เลขะกุล ที่ไปออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ด้วยกัน สำหรับอาจารย์หมอศัลยเวทย์ ผมถือว่าท่านเป็นบุคคลต้นแบบ เป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่งในสังคม ส่วนรุ่นพี่คนอื่นๆที่ร่วมกันทำงาน ทุกคนมีหัวใจบริสุทธิ์ ให้โดยไม่คาดหวังผลตอบแทน
ผมทำงานกับพวกเขาแล้วผมมีความสุข และยังได้เห็นแบบอย่างการทำงานของอาจารย์หมอศัลยเวทย์ที่ท่านไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยของตนเอง ท่านนำเราออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ก็ด้วยจิตใจที่อยากช่วยเหลือชาวบ้าน อยากแก้ไขความบกพร่องด้านร่างกายให้แก่ผู้ป่วย โดยที่ตัวเองจะเหนื่อยแค่ไหนท่านก็ไม่เคยย่อท้อ ตอนนั้นผมยังคิดว่าถ้าเราได้เป็นหมอผ่าตัด สักวันผมก็จะทำอย่างที่เห็นตัวอย่างจากอาจารย์และจากรุ่นพี่
ถามว่ามุมมองชีวิตของผมเปลี่ยนไปหรือไม่ เปลี่ยนมากครับ จากที่ผมเคยสวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมทั้งชุด ตอนหลังก็ไม่สนใจยี่ห้ออะไรทั้งนั้น รู้สึกว่าสิ่งภายนอกเหล่านี้ไม่ใช่ความสุขที่เราต้องการแสวงหา ขณะที่เมื่ออยู่ท่ามกลางชาวบ้าน ผมสัมผัสได้จริงๆว่าพวกเขารักเราจริงๆ และบรรยากาศอย่างนี้ก็แตกต่างจากสังคมที่ผมเคยอยู่อย่างสิ้นเชิง
อาจารย์อีกท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงมีผลงานโดดเด่นด้านแพทย์หัตถกรรม ก็คือ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ณรงค์ นิ่มสกุล ซึ่งผมก็เคยศึกษาด้านนี้กับอาจารย์หมอณรงค์ ท่านเป็นหมอผ่าตัดฝีมือดี และท่านยังแนะนำให้ผมไปศึกษาศัลยศาสตร์ต่อที่ประเทศญี่ปุ่น"
นายแพทย์ปิโยรสจึงตัดสินใจศึกษาต่อแพทย์เฉพาะทางในสาขาศัลยกรรมตบแต่ง ณ มหาวิทยาลัยโชวะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นเวลา ๓ ปี แล้วเรียนเพิ่มเติมด้านศัลยกรรมศีรษะและคอ ณ สถาบันมะเร็ง ประเทศญี่ปุ่นอีก ๑ ปี จากนั้นก็ไปเล่าเรียนศัลยกรรมตบแต่งที่ Mt.Sinai Medical Center นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา อีก ๑ ปี รวมทั้งฝึกงานต่ออีกประมาณ ๒ ปี จึงกลับมาสอบเข้าโรงเรียนเสนาธิการทหารเรือ
และอีก ๑ ปีต่อมา คุณหมอก็กลับไปศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมการแพทย์ (Laser Medicine) มหาวิทยาลัยโชวะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
"เรียนจบ ผมกลับเมืองไทยพร้อมกับ Ten Year Planning ๑๘ ข้อที่ผมได้เขียนบันทึกวางแผนไว้ ข้อแรกคืออยากตั้งมูลนิธิฯ ทำงานเกี่ยวกับด้านสังคมสงเคราะห์ ข้อถัดมาก็เช่น อยากเขียนตำราทางการแพทย์ อยากสร้างงานวิจัย อยากสร้างวัด อยากสร้างโรงเรียนในชนบท ฯลฯ ปัจจุบันผมทำสำเร็จแล้ว ๙ ข้อ ส่วนอีก ๙ ข้อยังทำไม่สำเร็จ
ในปี ๒๕๓๑ หลังจากที่ศึกษาสำเร็จจากสหรัฐอเมริกา แล้วกลับมาทำงานเมืองไทย ผมเริ่มก่อตั้งมูลนิธิดวงแก้วฯ โดยมีอาจารย์หมอศัลยเวทย์ อาจารย์หมอณรงค์ และอาจารย์หมอท่านอื่นๆช่วยกันผลักดัน ประกอบกับความที่เคยทำกิจกรรมพิเศษต่างๆมามาก ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ก็บ่อย พบปะผู้คนที่เป็นเครือข่ายให้เราได้ดีพอสมควร ทำให้ผมพอมีฐานในการทำงานมูลนิธิฯแน่นหนาพอสมควร"
พลเรือตรี นายแพทย์ปิโยรส ปรียานนท์ คือผู้ก่อตั้งมูลนิธิดวงแก้วในพระสังฆราชูปถัมภ์ขึ้น โดยได้เริ่มทำงานออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่รักษาผ่าตัดผู้พิการและด้อยโอกาสในชนบท ตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ เป็นต้นมา โดยใช้ชื่อ "มูลนิธิดวงแก้ว" มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้พิการและด้อยโอกาสให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข โดยแบ่งเป็นเป้าหมายหลัก ๓ ประการ ดังนี้ ๑. ช่วยเหลือเด็ก ผู้ด้อยโอกาสและทุพพลภาพ ๒. ส่งเสริมงานด้านวิจัยทางการแพทย์ ๓. เผยแผ่พระพุทธศาสนา
จากการที่ได้เล็งเห็นถึงความทุกข์ยากของผู้พิการและด้อยโอกาสในถิ่นทุรกันดาร โดยเฉพาะชนบทที่ห่างไกล ซึ่งการเดินทางเข้ามารับการรักษาภายในตัวเมืองเป็นไปได้ยาก เนื่องจากความยากจน หรือในบางสถานที่โรงพยาบาลในชุมชนก็ขาดแคลนแพทย์เฉพาะทาง รวมทั้งเครื่องมือที่เหมาะสม มูลนิธิฯจึงได้ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้การรักษาผ่าตัดแก้ไขความพิการให้กับผู้ป่วยในชนบท
"แต่เวลาทำอะไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าสังคมมนุษย์มีทั้งคนชอบเรา และไม่ชอบเรา ใครที่ชอบเมื่อชมเรา ก็อย่าเหลิง เพราะถ้าวันหนึ่งเขาเปลี่ยนจากคำชมเป็นคำว่ากล่าว เราอาจจะทำงานต่อไม่ได้ อีกด้านหนึ่งส่วนคนที่ไม่ชอบเรา ก็อย่าไปเอาใจใส่มากนัก เพราะไม่ว่าเราทำอะไร ก็มักจะผิดหมดในสายตาเขา
ส่วนสาเหตุหนึ่งที่มูลนิธิดวงแก้วฯยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้ ๘๐% ของผู้ที่บริจาคเข้ามา เขารู้จักเราดีพอ เพราะถ้าไม่รู้จักเรา ผมคิดว่าเขาไม่ให้หรอก โดยส่วนตัวผมเองก็ไม่ใช่คนที่ขอร้องใครก่อน จะให้ผมไปขอเงินบริจาคจากใคร ผมไม่ทำ แต่ถ้าให้มาผมรับ และผมได้ตั้งหลักเกณฑ์เกี่ยวกับบัญชีรายรับรายจ่ายของมูลนิธิฯอย่างโปร่งใสชัดเจน สามารถตรวจสอบได้ว่าผมนำเงินบริจาคไปใช้ส่วนตัวหรือเปล่า ตรวจสอบได้ทุกเรื่อง"
นายแพทย์หนุ่มย้ำว่า มูลนิธิดวงแก้วฯ อยู่ได้ด้วยความศรัทธาของผู้คน เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราจะทำลายไม่ได้ นั่นคือ เราจะทำลายความศรัทธาเหล่านั้นไม่ได้
นอกจากนี้ โครงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของมูลนิธิฯ จัดให้มีขึ้นเพื่อเป็นการมุ่งหวังที่จะนำธรรมะ คำสั่งสอนในพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต การแก้ไขปัญหาให้กับชุมชนด้วยกิจกรรมต่างๆ เช่น การอบรมปฏิบัติธรรม การหัดทำสมาธิและเข้าวัดฟังธรรม การจัดทำหนังสือธรรมะแจกเป็นประจำทุกๆ ปี การจัดทำห้องสมุดและสื่อทางธรรมะในโรงพยาบาล การจัดสร้างเสนาสนะ เช่น สถานปฏิบัติธรรม วัดและศาสนสถานที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการประพฤติปฏิบัติธรรม อาทิ วัดป่าเฉลิมพระเกียรติ วัดป่ากตัญญุตาราม วัชรธรรมสถาน เป็นต้น
"ผมยอมรับว่าชอบมองอะไรไปไกลๆ แต่บางครั้งถ้าเราหันกลับมามองอะไรที่ใกล้ๆบ้าง พบว่ามันทำให้เกิดความสุขใจขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก บางทีของใกล้ตัวๆเรานี่แหละก็มีคุณค่าอย่างชนิดที่เราคาดไม่ถึง ไม่จำเป็นต้องเอื้อมมือออกไปไขว่คว้าสิ่งที่อยู่ไกลตัวเสมอไป
อย่างสมัยวัยรุ่น พอมองย้อนกลับไป ผมก็รู้สึกผิดว่าใช้ชีวิตแบบตามใจตัวเองมากเกินไป ผมเคยออกจากบ้านหายไปเป็นเดือนๆ เพราะตามเพื่อนรุ่นพี่ไปออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท ทางบ้านก็เป็นห่วง แต่ด้วยความดื้อ คุณพ่อคุณแม่ท่านห้ามผมไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งท่านก็เห็นว่าผมไม่เคยเสียการเรียน ท่านจึงยอมปล่อยให้ผมทำในสิ่งที่อยากทำ
และตั้งแต่แรกที่ผมตั้งธงว่าไม่อยากเป็นหมอ แต่เนื่องจากชอบทางด้านวิทยาศาสตร์ สอบเทียบจนจบมัธยมปลาย ผมสอบเอ็นทร้านซ์เข้าคณะวิทยาศาสตร์เกษตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เข้าไปเรียนปี ๑ แล้วด้วย จากนั้นไม่นาน คุณพ่อท่านขอร้อง ท่านอยากให้ผมเรียนแพทย์มากกว่าด้านอื่น
ในที่สุด ผมยอมตามใจทางบ้าน เพราะก็รู้ดีว่าทั้งคุณพ่อคุณแม่ท่านตามใจเรามามากแล้ว ผมจึงไม่อยากให้ท่านผิดหวัง ต้องกลับไปเรียนมัธยมปลาย ม.ศ.๕ ใหม่ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แล้วถึงสอบเอ็นทร้านซ์อีกครั้งเข้าเรียนต่อในคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมกับทำงานวิจัยประเด็น Social Control ซึ่งงานวิจัยโปรเจ็คท์นี้ ผมเริ่มทำตั้งแต่ตอนศึกษาที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ปี ๑ มาเรียนในคณะแพทย์ จุฬาฯ ผมก็ยังทำวิจัยต่อเนื่อง รวมเวลาทั้งหมด ๔ ปี
หลักคิดของงานวิจัยนี้ ก็คือว่า ถ้าเรามีกลุ่มคนทดลองกลุ่มหนึ่งในสังคม แล้วเราเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของคนกลุ่มนี้ เพื่อจะสามารถชี้นำให้เขาเป็นไปอย่างที่เราต้องการได้หรือไม่ ซึ่งเมื่อสัก ๓๐ ปีก่อน งานวิจัยนี้ก็ดูน่าสนใจดี แต่สำหรับปัจจุบันคงธรรมดาๆ ไม่ตื่นเต้น
เมื่องานวิจัยโครงการนี้เสร็จเรียบร้อย ผมมีโอกาสไปพรีเซ้นท์ที่มหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด ซึ่งเป้าหมายสูงสุดของงานวิจัยโครงการ Social Control เป็นเพราะว่าผมอยากศึกษาคนด้วยการนำหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามาประยุกต์เป็นแนวทางความคิดในบางด้านและผสมผสานกับความเป็นวิทยาศาสตร์ คือผมก็คิดอะไรของผมไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็ค้นหาคำตอบเป็นเปลาะๆ ไม่ชอบอยู่นิ่งเฉย"
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องรูปกับนาม หรือกายกับจิต
"กายกับจิต ผมมาสนใจมากเป็นพิเศษในช่วงที่คุณแม่ป่วยตั้งแต่ปี ๒๕๓๔ เป็นต้นมา พอผมสึกออกมา ยังได้วิ่งหาครูบาอาจารย์ด้านธรรมะอีกหลายท่าน หนำซ้ำยังทิ้งความสนใจเดิมๆของตนเองเกือบทั้งหมด เพราะมุ่งมาสนใจเรื่องการพัฒนาจิตในแง่มุมของศาสนาพุทธแทน
สมัยที่ผมกลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ ดูแล้วชีวิตน่าจะหอมหวานมีความสุข เป็นหมอผ่าตัด รายได้ต่อเดือนสูงถึง ๘-๙ แสนบาท แต่ทำไมผมยังทุกข์มากอยู่
คำสอนของครูบาอาจารย์หลายท่าน จึงได้สอนให้ผมรู้จักเหตุและผล เริ่มจากง่ายๆที่ตัวเราเองก่อน เช่น ทำไมเรากินอย่างนั้น ทำไมเราพูดอย่างนั้น ทำไมเรามีชีวิตอย่างนั้น คือครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านชี้แนะให้เราย้อนกลับมามองตนเอง พิจารณาดูโลกที่อยู่ภายในตนเอง ซึ่งทำให้ผมรู้สึก...โอ้โฮ...โลกภายในตนเองนี่มันช่างใหญ่กว่าโลกที่เราเคยรู้จักมา
ถ้ารู้จักพระธรรม หมั่นศึกษาพระธรรม ก็จะรู้ว่าพระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดานี่แหละเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนและทุกสังคม ลองคิดง่ายๆว่าถ้าคนเรายึดมั่นในการถือศีล ๕ ถามว่าสังคมไทยจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้หรือไม่
หากคนดีเสียอย่าง ทรัพยากรบุคคลดีเสียอย่าง ถามหน่อยว่าบริษัทไหน องค์กรไหน จะไม่เจริญ ผมเชื่อว่าถ้าแก้ปัญหาที่คนได้ ปัญหาทุกอย่างในสังคมจบ
ผมอยากยกตัวอย่างเด็กญี่ปุ่น ความจริงเด็กญี่ปุ่นไม่เคยถูกสอนให้รักชาติ แต่เด็กเขารักชาติด้วยจิตสำนึกของเขาเอง ญี่ปุ่นเขาสอนเด็กของเขาอย่างไร ก็เช่น พาเด็กไปดูประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เขาทำข่าวทำสารคดีในเรื่องที่ดีของประเทศเขาให้เด็กดู แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเด็กเหล่านั้น เด็กเขาภูมิใจในความเป็นญี่ปุ่น ขณะที่บ้านเราวันๆมีแต่ข่าวที่ไม่ดีของคนไทย เป็นข่าวด้านลบมากกว่าด้านบวก เช่น ข่าวอาชญากรรม ข่าวยาเสพติด ข่าวพระสงฆ์อาบัติ ฯลฯ ส่วนข่าวที่ดีๆมักจะเป็นข่าวที่เกิดจากประเทศอื่นทั้งนั้น"
ถึงตรงนี้ 'คุณหมอโย' วกเข้าประเด็นเหตุบ้านการเมืองสักเล็กน้อย และสอดประสานแง่คิดหลักธรรมพระพุทธศาสนา
"คนไทยหลายคนในวันนี้อาจจะคิดว่ารัฐบาลต้องให้นั่นให้นี่กับเรา แต่เคยถามตัวเองมั้ยว่าเราเคยทำอะไรให้ประเทศชาติบ้าง เคยละอายใจหรือไม่ถ้าต้องทำผิดต่อชาติบ้านเมือง ในฐานะที่เป็นแพทย์ ผมก็เห็นด้วยนะครับกับหลักประกันสุขภาพ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค ถึงแม้ว่านโยบายนี้จะทำให้หมอส่วนใหญ่ในโรงพยาบาลรัฐต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิมอีกสิบเท่า ขณะที่ค่าตอบแทนเท่าเดิม แต่ประชาชนคนส่วนใหญ่เขาได้รับการรักษาดูแลยามเจ็บไข้ได้ป่วยดีกว่าเดิม แม้จะไม่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม
หลวงตามหาบัวและพระครูบาอาจารย์อีกหลายท่าน เคยสอนผมว่า การปฏิบัติงานหรือการทำอะไรก็ตามในชีวิต มนุษย์ต้องมีธรรมะเป็นองค์ประกอบ อย่างน้อยก็คือหลักพรหมวิหาร ๔
เมตตา ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข กรุณา ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ มุทิตา ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี อุเบกขา การรู้จักวางเฉย หมายถึงการวางใจเป็นกลาง
ความทุกข์ทั้งปวงที่เกิดขึ้นกับเรา ก็มาจากจิตใจ หากเราควบคุมใจได้ดี ความทุกข์ก็ย่อมน้อยลง
เพราะฉะนั้น Ten Year Planning ของผมจะจบลงตอนที่ผมอายุ ๕๕ ปี ผมขออนุญาตกับภรรยาไว้ ๕ ปี ว่าอยากจะบวชอีกครั้ง เพื่อศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าให้เต็มที่ อยากปฏิบัติธรรมให้เต็มที่ อย่างน้อยเมื่อเราเกิดมาเป็นคนแล้วในชาติหนึ่ง ก็ไม่อยากให้เสียเวลาในการเรียนรู้ความยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนา แต่จะได้ผลแค่ไหน ยังไม่รู้นะ ถ้าบวชแล้วเห็นความก้าวหน้า ก็อาจจะครองผ้าเหลืองต่อ แต่ถ้าไม่ได้อะไร ก็คงสึกออกมาเป็นคนแก่เฝ้าบ้าน"
คุณหมอปิโยรสกล่าวทิ้งท้ายอย่างถ่อมตน
อันว่าความกรุณาปรานี
จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ